วันที่ 30 ส.ค.53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวนาในพื้นที่นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในเขต ต.ท่าไร่ ต.บางจาก ต่อเนื่องไปจนถึงเขตลุ่มน้ำปากพนัง ซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวทำนาปีจำนวนนับ 10,000 ไร่ กำลังประสบความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากกำลังเข้าช่วงฤดูทำนาปี มีการไถหว่านพันธุ์ข้าวไปแล้วจำนวนมาก แต่ปรากฏว่า เมื่อฝนทิ้งช่วงพันธุ์ข้าวที่หวานไว้นั้นไม่งอก และเมื่อถูกแดดเผาติดต่อกัน ผนวกกับความชื้นในช่วงกลางคืน ทำให้ข้าวขึ้นราเสียหาย บางส่วนถูกสัตว์เก็บกิน ทำให้ประสบความเดือดร้อนอย่างหนัก
จึงเข้าตรวจสอบในพื้นที่ ม.7 ต.ท่าไร่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พบว่า แปลงนาจำนวนมีการไถเรียบร้อยแล้วและเมื่อไปดูใกล้ๆ จึงพบว่า แต่ละแปลงมีการหว่านพันธุ์ข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งชาวนาในละแวกนั้นยืนยันในทุกแปลงนาของ ต.ท่าไร่ มีการหว่านพันธุ์ข้าวพร้อมกันมานาน 2 สัปดาห์แล้ว แต่ไม่มีฝน ทำให้ข้าวไม่แตกหน่อ ซึ่งถ้าคิดเป็นพื้นที่แล้วในแทบทุกตำบล ต่างประสบปัญหาเช่นนี้ รวมไปถึงเขตลุ่มน้ำปากพนังเช่นเดียวกันข้าวนาปีไม่งอกเช่นปีที่ผ่านมา
นายธีระพงศ์ ทองคำ อายุ 43 ปี อยู่ ม.3 ต.ท่าไร่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ฝนไม่ตกลงมาเลย ข้าวที่หว่านไว้จะเสียทั้งหมดที่นี่ทั้งตำบลที่หว่านไปแล้ว ฝนไม่ตกเสียหายทั้งหมด ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไร แต่ละไร่ใช้ข้าวประมาณ 20-30 กก.เฉพาะใน ม.3 มีนาข้าวอยู่ราว 700-800 ไร่ รัฐก็หมดทางช่วยเพราะเป็นพื้นที่จำนวนมาก ระบบชลประทานไม่มี น้ำเค็มยังรุกเข้ามาต้องปล่อยไปตามธรรมชาติตามยถากรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการคิดคำนวณการสูญเสียค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น พบว่า แต่ละไร่จะใช้พันธุ์ข้าวประมาณ 20-30 กก.เมื่อคิดกับพื้นที่มีไม่น้อยกว่า 10,000ไร่ และเมื่อรวมเขตลุ่มน้ำปากพนังไปด้วยแล้ว อาจสูงไปถึง 30,000 ไร่ แล้วนั้น พันธุ์ข้าวนาปีที่ใช้นั้นสูญเสียไปกว่า 300-600 ตัน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อรวมกับค่าไถหว่าน ซึ่งหากข้าวงอกได้ตามปกติเจริญเติบโตจนเก็บเกี่ยวได้ในพื้นที่เหล่านี้จะมีรายได้นับหลายร้อยล้านบาท
“หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ ในฤดูทำนาปีประจำปีนี้จะไม่สามารถทำนาได้เช่นปกติจะส่งกระทบกับสภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีการทำนาเป็นอาชีพหลัก” นายธีระพงศ์ กล่าว
ขอบคุณ...ผู้จัดการ ออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น