วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักข่าวเมืองคอนผวาหวั่นเซ่นพิษเปิดโปง “กินตรวน-ส่วยบิ๊กราชทัณฑ์”

พิษตีแผ่คุกสุดฟอนเฟะ เปิดโปง กินตรวน-ส่วยบิ๊กราชทัณฑ์ทำผู้สื่อข่าวผวาถูกเก็บ ยื่นหนังสือร้องผู้ว่าฯ ประสานดูแลเรื่องความปลอดภัย ด้านรองอธิบดีโทร.ด่วน แจงผู้สื่อข่าวไม่มีเจตนาคุกคามที่นำผู้คุมมาประจันหน้านักข่าว และสั่งเก็บภาพละเอียดยิบ แค่เปิดโอกาสให้ผู้คุมเปิดใจ ขณะที่ จนท.ราชทัณฑ์ ตอกกลับเหมือนละคร ชี้ช่องอีกควรตรวจเงินนักโทษ-สินค้าร้านสวัสดิการ
      
       ความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องกับผลพวงหลังจากการเข้าปฏิบัติการตรวจ ค้นเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่คอมมานโดราชทัณฑ์ ซึ่งถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่สามารถตรวจค้นยาเสพติดและของต้องห้ามได้ เป็นจำนวนมากของการตรวจเรือนจำ รวมทั้งการสืบสวนปรากฏความเชื่อมโยงของขบวนการค้าเสพติดพัวพันกับหลายฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นักโทษ และบุคคลภายนอก การออกมาเปิดเผยถึงการกินตรวน การส่งส่วยจนถึงขั้น นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เดินทางมาสอบสวนผู้คุม และลุกลามมาจนถึงการบันทึกภาพผู้สื่อข่าว และนำเอาผู้คุม 11 ราย ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยมาประจันหน้ากับผู้สื่อข่าว จนหวั่นเกรงถึงความไม่ปลอดภัยตามข่าวที่ได้เสนอมาเป็นลำดับ
      
       ความคืบหน้าวันที่ 10 พ.ค.55 สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เข้ายื่นหนังสือกับ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงความหวั่นวิตกในความไม่ปลอดภัยในชีวิต กรณี นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เดินทางลงมาสอบสวนผู้คุมทั้ง 11 ราย ในประเด็นของการให้ข่าวกับสื่อมวลชนในกรณี กินตรวนและ ส่วยที่ส่งให้บิ๊กราชทัณฑ์เดือนละ 1 ล้านบาท โดยมีการสอบสวนแบบเรียงคนทีละคนทั้ง 11 คน รวมไปถึงผู้คุมที่พ้นจากราชการไปแล้วอีกจำนวนหนึ่ง
      
       โดยมีการสอบสวนเสร็จในเบื้องต้น ได้ให้ผู้สื่อข่าวรอในห้องประชุมของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช หลังจากนั้น นายกอบเกียรติ ได้ให้ผู้คุมที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยทั้ง 11 ราย เข้ามาประจันหน้า และสอบถามสำนักข่าวของผู้สื่อข่าวแบบเรียงคนเช่นเดียวกัน พร้อมกันนั้น ได้สั่งให้มีการบันทึกภาพบรรยากาศในห้องประชุม โดยเฉพาะผู้สื่อข่าว จนเป็นที่มาของความวิตกหวั่นเกรง ประกอบกับเคยมีกรณีลอบสังหารผู้สื่อข่าวในพื้นที่นครศรีธรรมราชมาแล้วยิ่งทำ ให้ผู้สื่อข่าววิตกมากขึ้นไปอีก
      
       นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวแล้ว ว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้น น่าจะได้มีการพูดคุยกัน เพราะไม่อยากให้สื่อต้องสูญเสียชีวิตเหมือน นายอธิวัฒน์ ไชยนุรัตน์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน การที่สื่อรวมตัวในครั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีศักยภาพเพียงพอที่จะเรียกร้องความยุติธรรม อยากให้ทางราชทัณฑ์เข้าใจการทำงานของสื่อมวลชน อย่าปิดกั้นสื่อ หากพฤติกรรมทั้งหมดเป็นไปตามนั้น เสมือนเป็นการส่งสัญญาณปิดกั้นไม่ให้เขาทำหน้าที่สืบสวนข้อมูลมาเผยแพร่ให้ สาธารณชนทราบต่อไป
      
       “ชั้นต้น ผมได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช จะจัดกำลังเข้าดูแลความปลอดภัย สร้างความอบอุ่นใจให้กับผู้สื่อข่าวที่ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยทางจังหวัดก็จะเรียก หน.ฉก ศรีวิชัย ให้จัดกำลังส่วนหนึ่งดูแลความปลอดภัย และขอกำลังจาก นปพ.มาดูแล อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวจะไปไหนมาไหนก็ต้องระมัดระวังตัวเองไว้ด้วย หากเห็นไม่ชอบมาพากล ก็ขอให้แจ้งให้ทราบทันที จะได้ให้การช่วยเหลือ จะรีบประสานเรื่องนี้ไปยังราชทัณฑ์เพื่อทำความเข้าใจโดยด่วนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าว
      
       ด้าน นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ฝ่ายปฏิบัติการ ได้โทรศัพท์สายตรงมาถึงผู้สื่อข่าว และชี้แจงถึงเจตนาในเรื่องที่เกิดขึ้น ว่า วันนั้นเจตนา คือ ให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มาพบกันต่อหน้าผู้สื่อข่าว เพื่อยืนยันว่า ไม่มีใครที่ให้ข่าวไปในเรื่องของการกินตรวน และเรื่องส่วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียภาพลักษณ์ขององค์กร และยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในข่ายเปิดใจต่อหน้าผู้สื่อ ข่าวด้วย ใครอยากระบาย หรืออยากพูดอะไรสามารถพูดได้เลย ส่วนการบันทึกภาพนั้น เป็นการบันทึกภาพโดยทั่วไป ไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นใคร ยืนยันเจตนานั้นไม่ได้เป็นอย่างอื่นจริงๆ และเชื่อว่า ไม่ลุกลามไปถึงขั้นข่มขู่คุกคาม
      
       ขณะที่ผู้สื่อข่าวชี้แจงกลับไปว่า ในจำนวนผู้คุมทั้ง 11 รายที่เข้ามานั้น เข้าใจว่า ท่านรองอธิบดียังไม่ทราบ หรือรับรองได้เช่นเดียวกัน ว่า ผู้คุมที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่ามีใครในนั้นโปร่งใสหรือใครเกี่ยวข้องกับ ขบวนการค้ายาเสพติด หรือโยงใยกับขบวนการผลประโยชน์นอกกฎหมายหรือไม่ อย่างไร และไม่สามารถยืนยันได้ด้วยว่า ข้อมูลของผู้สื่อข่าวจะตกไปถึงมือคนเหล่านั้นหรือไม่ ซึ่งถือเป็นการมองคนละมิติ ระหว่างผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ กับผู้สื่อข่าวที่ต้องทำหน้าที่ในพื้นที่ โดยเฉพาะการทำข่าวในเชิงสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช มาอย่างเข้มข้น ซึ่งข้อมูลที่ได้แสดงถึงการเชื่อมโยงถึงเครือข่ายขบวนการทั้งการค้ายาเสพติด ในเรือนจำ ทั้งผู้คุม ผู้ต้องขัง และบุคคลภายนอก ซึ่งแต่ละคนที่นำมาเจอกับผู้สื่อข่าว อาจมีความเชื่อมโยงกันก็ได้เช่นเดียวกัน
      
       “ผมขออนุญาตแจ้งให้ท่านทราบครับ มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน เตือนมาด้วยซ้ำว่า ให้ผู้สื่อข่าวระวัง เพราะเนื่องจากขบวนการนี้ มีเป็นระบบและใหญ่กว่าที่คิด ข้อมูลของผู้สื่อข่าวมีอยู่ทั้งนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขนาดตำรวจยังถูกโทรศัพท์ข่มขู่ นักข่าวจะไปเหลืออะไร หากพวกนี้คิดจะทำเรื่องที่ไม่คาดคิดผู้สื่อข่าวแจ้งกลับไปยังรองอธิบดี ก่อนที่จะแจ้งว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนผู้สื่อข่าวแล้วจึงขออนุญาตวางสายไป
      
       ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายหนึ่ง แสดงความเห็น และย้ำห้ามเปิดเผยข้อมูลของเขาโดยเด็ดขาด ว่า กรณีที่รองอธิบดีลงมาสอบสวน โดยการเรียกสอบผู้คุมทั้ง 11 รายแบบเรียงตัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งการกินตรวน และเรื่องส่วยนั้น ผู้คุมเหล่านั้น มีทั้งคนผิดมากผิดน้อย หรือไม่ผิดเลยแตกต่างกันไป ซึ่งต้องรอผลการสอบสวนเสมือนว่า พวกเขาเหล่านั้นกำลังมีปัญหากับชีวิตราชการครั้งใหญ่แล้ว
      
       “ยิ่งมานั่งต่อหน้ารองอธิบดีที่สามารถให้คุณให้โทษกับเขาได้ ถามว่า สมัยรองอธิบดีเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ทำงานมาไม่กี่ปี รองอธิบดีจะกล้าพูดถึงเรื่องปัญหาภายในที่หมักหมมเชื่อมโยงกับกรมราชทัณฑ์ ทั้งระบบหรือไม่ เช่นเดียวกัน ข้าราชการราชทัณฑ์พวกนั้น จึงเลือกที่จะปิดปากจะไปเพิ่มปัญหาใหญ่ให้ชีวิตราชการของตัวเองได้อย่างไร ยิ่งถ้าพูดออกไปยิ่งเหมือนรัดคอให้ตัวเองตายเร็วยิ่งขึ้น จึงเลือกนิ่งเฉยเอาตัวเองให้รอดพ้นปัญหานี้ไปก่อน การมาสอบนั้นจึงเป็นเหมือนละครที่มาถามมาสอบให้มันจบๆ ไปแล้วเรื่องราวมันก็จบไป เพราะไม่มีใครให้การว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
      
       ข้าราชการราชทัณฑ์รายเดิม ยังชี้ช่องด้วยว่า ช่วงนี้ได้มีคำสั่งงดของเยี่ยมทุกอย่างจากญาติเข้าเรือนจำ เรือนจำจะจัดหาให้เอง และกรณีอาหารนั้น ปกติจะมีการจัดเลี้ยงอยู่แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายของนักโทษนั้น จะสามารถซื้อของในร้านสวัสดิการในเรือนจำได้ด้วยการที่ญาติฝากเงินเข้าบัญชี ของนักโทษแล้วมาหักเป็นค่าใช้จ่ายซื้อของกินของใช้ในเรือนจำจากร้านค้าภายใน
      
       “ผมอยากให้รองอธิบดีไปดูถึงกระบวนการฝากเงินเข้าบัญชีให้นัก โทษ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรือนจำ ญาตินักโทษฝากจริงเท่าไหร่ เข้าบัญชีเท่าไหร่ ราคาของในร้านสวัสดิการภายในราชทัณฑ์เป็นอย่างไร ผมเข้าใจว่า ท่านคงจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายนี้ กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด
ข้อมูลจาก...ผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น: