วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แฉขาใหญ่เอี่ยวเผา “ป่าพรุควนเคร็ง” แปลงป่าสงวนเป็นสวนปาล์ม


เลขาธิการ กปร.เข้าตรวจสอบป่าพรุควนเคร็ง หวั่นแปลงทดลองเสม็ดขาวครบวงจรสมเด็จพระเทพฯ เสียหาย แนะทุกส่วนร่วมบูรณาการแก้ปัญหาพรุทั้งระบบ ด้านนักพัฒนาชุมชนแฉข้าราชการ-นายทุน-นักการเมืองระดับชาติครอบครองพื้นที่ ทำสวนปาล์มจำนวนมาก
      
       เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 มิ.ย.55 นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางเข้าพื้นที่ป่าพรุควนเคร็ง ในช่วงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอนทราย-ป่ากลอง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช โดยได้เข้าร่วมประชุมกับว่าที่ ร.ต.ฐิตวัฒน์ เชาวลิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่กองอำนวยการดับไฟป่า บริเวณศาลหลวงต้นไทร ต.การะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 ผู้บริหารจากสำนักชลประทานที่ 15 ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายท้องที่ โดยมีนายธนากร รักธรรม หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บรรยายสรุปสภาพพื้นที่ และสถานการณ์อย่างละเอียด
      
       นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้กล่าวแนะนำให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ทุกฝ่ายเข้าร่วมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติงาน แบบบูรณาการขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยจัดหาสถานที่ที่เหมาะสม เช่น ในพื้นที่โครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้น ขณะที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับตามแนวดังกล่าว
      
       อย่างไรก็ตาม ในการประชุม นายสมจิตร สุดเอียด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลการะเกด ได้แสดงความเห็น และระบุถึงสภาพปัญหาในพื้นที่ว่า ป่าพรุมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปมาก หลังจากนี้ไม่นานคาดว่าคงจะหมดไป เนื่องจากถูกบุกรุกจากนายทุน ผู้กว้างขวาง และผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาใช้วิธีการจุดไฟเผาป่าเพื่อยึดครองพื้นที่ ส่วนชาวบ้านนั้นไม่มีความสามารถพอที่จะไปทำอย่างนั้นได้หากมีไฟเกิดขึ้น เพราะชาวบ้านนั้นมีเพียงแค่การเข้าไปหาน้ำผึ้ง ไปหาของป่าเท่านั้น
      
       ส่วนนายอภิเชษฐ์ พรัดชู ผช.นักพัฒนาชุมชน อบต.การะเกด เปิดเผยว่า การบุกรุกป่าพรุมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากกระแสของปาล์มน้ำมันเฟื่องฟู ในพื้นที่มีการบุกรุกกันมาก ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีอำนาจมีบารมีในจังหวัด แปลงใหญ่ๆ ไปตรวจสอบได้เลยว่าเป็นของใครบ้าง มีบารมีถึงขนาดที่ว่าสามารถเข้าไปกดดันให้ชลประทานสามารถเปิดประตูระบายน้ำ อุทกวิภาชประสิทธิ์เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในสวนปาล์มของพวกเขา ส่งผลให้น้ำในป่าพรุลดลงไปอย่างมาก นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจากการติดตามตรวจสอบของชาวบ้าน
      
       “ผลที่ตามมาคือ น้ำในป่าพรุแห้งลงไปอย่างมากทำให้เป็นโอกาสในการเผาเพื่อขยายพื้นที่ปลูก ปาล์มน้ำมันอย่างต่อเนื่อง บางช่วงน้ำหายไปกว่า 1 เมตร แล้วน้ำในพรุจะเหลืออะไร พรุจึงแห้งเป็นโอกาสของการจุดไฟเผาทำลายเพื่อเอาที่ดิน
           ด้าน นายสิริวิชญ กลิ่นภักดี ผู้อำนวยการส่วนจัดสรรน้ำ สำนักชลประทานที่ 15 ได้กล่าวชี้แจงถึงการบริหารจัดการน้ำ การเปิดประตูระบายน้ำในพื้นที่ว่า จะมีปัญหาน้ำในคลองฆ็อง เนื่องจากมีการร้องเรียนเรื่องของน้ำที่ท่วมขังสวนปาล์มน้ำมัน ถึงขนาดถวายฎีกา ในการจัดการน้ำโดยปกติแล้ว ชลประทานจะต้องรักษาระดับน้ำอยู่ที่ +0.30 เมตร รทก. แต่ปัจจุบันนั้น จากสภาพฝนทิ้งช่วงน้ำอยู่ที่ต่ำกว่าปกติคือ -0.30 เมตร รทก. ซึ่งมีการสูญเสียน้ำจากการระเหยอยู่ที่วันละ 0.8 ซม. และน้ำสำหรับปาล์มหนึ่งต้นนั้นจะอยู่ที่ 200 ลิตรต่อต้นต่อวัน
      
       “ส่วนการพยายามแก้ไขปัญหาในการเพิ่มระดับน้ำเข้าป่าพรุนั้น ยอมรับว่าป่าพรุมีความซับซ้อนทางเชิงชั้นของระบบนิเวศสูงมาก หากน้ำขังมาก และนานจะส่งผลกระทบอีก อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาในขณะนี้ได้จัดตั้งเครื่องสูบน้ำเข้าพื้นที่ด้วยการทำทำนบชั่ว คราว ปิดทางเข้าออกน้ำ ปิดประตูระบายน้ำแล้วสูบน้ำเข้าไป
      
       อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการเปิดประตูระบายน้ำจนส่งผลกระทบนั้น นายสิริวิชญ ได้กล่าวไว้อย่างมีนัยสำคัญว่า อยากบอกว่า ขอให้ช่วยกันออกเสียง อย่าให้คนส่วนน้อยเหนือกว่าคนส่วนใหญ่ในพื้นที่
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายธีระวุฒิ นุ่นสังข์ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ้าบ่อล้อ อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า ได้มีการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าช้างข้าม ม.8 ต.เขาพระบาท อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ในความดูแล โดยในพื้นที่ได้มีการปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 20 ไร่ ประมาณ 400 ต้นเศษ หลังจากนั้น จึงเข้าทำการตรวจสอบพบว่า มีการเข้าไปปลูกปาล์มน้ำมันประมาณไม่เกิน 2 สัปดาห์ ทั้งยังมีร่องรอยตีนตะขาบของรถแบ็กโฮซึ่งยังใหม่อยู่ด้วย
      
       เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพิกัด พบว่าแปลงนี้ได้เคยถูกเจ้าหน้าที่ตรวจยึดมาแล้วเมื่อปี 2552 ยังอยู่ในระหว่างดำเนินคดี ส่วนพื้นที่นั้นได้ทิ้งไว้ให้ป่าคืนสภาพเดิม แต่ปรากฏว่า ในช่วงการลอบเผาป่าพรุเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าผู้ที่ลักลอบบุกรุกแผ้วถางพื้นที่แปลงดังกล่าวนี้ได้มีส่วนในการลอบ เผาป่าพรุด้วย เมื่อไฟได้ลามพื้นที่จนราบเรียบจึงนำพันธ์กล้าปาล์มเข้ามาปลูกจนเต็มพื้นที่ หลังจากนั้น จึงทำการตรวจยึดซ้ำอีกครั้งก่อนทำบันทึกเพิ่มคดีไปยังพนักงานสอบสวน
      
       และในการสืบสวนเบื้องต้น เชื่อว่า ผู้ครอบครองแปลงที่ดิน ส.ป.ก.ใกล้เคียงกันมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบร่องรอยว่าว่าพันธุ์ปาล์มมีขนาดเดียวกัน และอาจปลูกในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งจะได้ขออำนาจของ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 ทำหนังสือสอบถามผู้ครอบครองแปลง ส.ป.ก.ใกล้เคียงจากสำนักงาน ส.ป.ก.เพื่อเรียกตัวมาสอบสวนดำเนินการต่อไป
      
       ส่วนการสูบน้ำเข้าพื้นที่ป่าพรุ เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้มีการหยุดเดินเครื่องมาติดต่อกันหลายวัน แต่เมื่อคณะของเลขาธิการ กปร.เดินทางมาตรวจพื้นที่ ปรากฏว่า ได้มีการขนย้ายเครื่องสูบน้ำเข้ามาจัดวางในพื้นที่อย่างคึกคัก และเริ่มเดินเครื่องสูบน้ำใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ข้อมูลจาก...ผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น: